การทำใบขับขี่ในประเทศสวีเดน 2
พอหลังจากนั้นก็จะได้เอกสารจากทางขนส่ง เราแนะนำว่า ทำการหาข้อมูลก่อนลงเรียนดีกว่า แต่เราทำการซื้อหนังสือด้วย หลังจากทดสอบสายตา ก็จะเริ่มอบรมขับรถ การอบรมของเราสั้นๆ เราเอาไม่กี่คอร์ส เพราะเราคิดว่า เอาที่ไม่รู้ดีกว่า นอกนั้นฝึกจากการขับจริง เพราะเราต้องขับทุกวัน วันแรกไปขับรถกับคนสอนขับ มีความรู้สึกว่าไม่ชอบคนสอนเท่าไหร่ เลยไม่อยากไปเรียน เราลงเรียนสองครั้ง แต่เขาพูดไม่ค่อยดี เช่น คุณก็ขับได้ แล้วมาเรียนทำไม เออ เนอะ ในใจก็คิดว่าเย็นไว้โยม ชั้นจ่ายเงินให้เพื่อมาอบรมนะ แกจะเอาไงเนี่ย หากไม่อยากสอนก็ไม่ต้องสอน เขาส่งกุญแจให้ ถามว่า ขับรถได้เปล่า เราบอกพอได้ แต่ไม่ดี เพราะเคยขับแต่ออโต้ร์ ไม่เคยขับแมลนวล(เกียร์ธรรมดาละกันง่ายดี) ก็เลยต้องจ่ายเงินมาเรียนนี่แหละ อีกอย่างกฎของที่นี่ หากขับเกียร์ธรรมดาได้ ก็สามารถขับเกียร์ออโต้ร์ได้ แต่หากอบรมเกียร์ออโต้ร์ เวลาทำใบขับขี่ไม่สามารถขับเกียร์ธรรมดาได้นะ เออ นี่ก็เพิ่งรู้เนอะ เพราะบ้านเราไม่มีกฎห้ามนิ
เขาบอกงั้นก็ลองขับเลยละกัน ใจเราก็เต้นตูมตาม เออหนอ แกจะเอากับชั้น แต่เพราะเลือกเอง ก็เอาวะ ขับเลยวันแรก ให้ขับในมัลเม่อล์ รถเยอะมาก เรามือเย็นมาก แต่ก็ขับ เพราะอย่างหนึ่งถนนที่นี่ขับง่ายกว่าในกรุงเทพ เพราะว่าเขาขับในเมืองส่วนมากแค่ประมาณ 40-50 ความเร็วประมาณนี้ ห้ามเกิน แต่ก็เนอะ ด้วยความปากไว เลยสวนกลับคนสอนว่า แล้วทำไม ชั้นเห็นคนขับในมัลเม่อล์ ขับกันเร็วมาก น่าจะเกินที่ยูบอกชั้นนะ เขาบอกว่า ก็พวกนี้ไม่มีใบขับขี่เป็นส่วนมาก เออเนอะ แล้วทำไม ตำรวจไม่จัดการล่ะ เขาบอก ก็ทำการตรวจแหละ แต่ส่วนมากจะไม่ใช่คนสวีเดน เออแฮะ ตอบแบบนี้
เราขับตามเส้นในเมือง ขับไปตามที่มีการจราจรเยอะ และ ตามเส้นทางเล็กๆ ในหมู่บ้าน และต้องเรียนเรื่องการใช้เกียร์ ในการประคองรถ นี่คือเท่าที่เรียนวันแรก แค่สี่สิบห้านาทีนะ แล้วเขาก็ให้ขับกลับโรงเรียน พร้อมบอกว่าเราขับพอได้ แต่ยังติดนิสัยการขับจากบ้านเรามา เออแฮะ กัดไม่หยุด เรากะว่าจะเลิกเลย แต่อ่ะนะ เขาอาจมีปัญหาทางบ้านมั้ง อีกอย่าง ยิ้มสู้ไว้ ทำเป็นไม่สนใจ แล้วเราก็จองอีกคอร์ส ตอนแรกคาดว่าจะได้คนใหม่ จองอีก สี่สิบห้านาทีเหมือนเดิม ปรากฎว่าวันที่สอง คนเดิม ให้เราขับตามถนนอีกสาย แล้วไปเรียนเรื่องการใช้สัญญาณ หลักการจอด การชลอรถทำอย่างไร ให้ประหยัดน้ำมันเวลาขับ และไม่ต้องเบรครถบ่อย อันนี้ก็เทคนิคใหม่สำหรับเรานะ เพราะเราไม่เคยรู้เรื่องเกียร์ธรรมดา
อ้อลืมไปข้ามไปขั้นตอนหนึ่ง ก่อนทำการขับเขาสอนเรื่องการปรับที่นั่งให้ได้ระดับ และการปรับกระจกรถด้วย เพราะสำคัญมาก ซึ่งเวลาขับจะประมาทไม่ได้ หากมีจุดบอดที่เราไม่ได้สังเกตุ ก็ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ที่นั่งก็สำคัญ เพราะหากไม่ได้ระดับก็เมื่อย และทำให้ร่างการเกร็ง รวมไปถึงการคอนโทรลด้วย มันต้องได้ความสมดุลย์กัน อันนี้ก็จำเป็นนะ อันนี้เราคิดเอง แต่คนสอนก็บอกว่าการปรับ ปรับอย่างไร เพราะรถแต่ละคัน จะไม่ค่อยเหมือนกัน จะมีปุ่มนั่น โน่น นี่ แล้วแต่แบรนด์ไหน แล้วสอนเรื่องการวางเท้า การเข้าเกียร์ จุดบิทติ้งพ้อยน์ การชลอการเบรค เทคนิคเหล่านี้แหละสำคัญ และเรื่องเบรคมือด้วย ทำการเช็คก่อนออกรถ ซึ่งทำการเช็คก่อนสตาร์ทเครื่อง และการจอด
เอามาย้อนเรื่องการเรียนวันที่สองต่อ เราเรียนเทคนิคใหม่เกี่ยวกับการขับขึ้นเนินในเมืองเวลาที่มีรถติดเยอะ และรถเราอยู่ระหว่างเนินจะทำไง ส่วนใหญ่ นิสัยอันดีงามที่ติดมาเราจะเบรค เพราะเกียร์ออโต้ร์ไม่ต้องทำไรมากเนอะ แต่เกียร์ธรรมดา ไม่ต้องเบรคนะ ต้องหาจุดระหว่าง ครัช กับ คันเร่ง ให้ได้จุดสมดุลย์กัน จะทำการประคองรถได้ และลดเกียร์ลงมา อันนี้ก็ความรู้ใหม่สำหรับเรา แบบว่า ฉลาดน้อยมานาน การเปลี่ยนเกียร์ก็จำเป็น และอีกอย่าง การเบรคก็ต้องให้น้อยที่สุด แต่สามารถทำการชลอรถได้โดยไม่ต้องเบรค อันนี้เราว่าทุกคนคงรู้บ้างแล้ว เราเรียนเรื่องการจอด หรือการใช้ footbrake
ต่อมา เรียนกับคนใหม่ เรียนเรื่องการจอดในที่ลาดกับเนิน จอดที่ลาด หมุนล้อหน้า เข้ามุม ชิดขอบถนน แต่หากเป็นเนิน ให้หมุนล้อหน้าออกเล็กน้อย หรือจำง่าย ๆ ที่ลาดล้อหมุนเข้ามุม ที่เนินล้อหน้าหมุนออก
เทคนิคต่อมา เรียนเรื่องการถอยหลัง อันนี้ขอบอกว่า บ้านเรามองกระจกเนอะ บ้านเขาให้หมุนคอไปข้างหลังเลย โฮ แบบคอแทบหมุนได้ ปวดคอมาก และเขาก็สอนบอกวิธี ว่าทำอย่างไร ให้มองจุดถอย แล้วห้ามมองพวงมาลัย แต่อันนี้ขอบอกว่า คอเคล็ดหลังเรียนเสร็จ ปวดคอมาก แทบหันกลับไม่ได้
เทคนิคต่อมา เรียนเรื่องการกลับรถ เช่น กลับรถในที่แคบ ถนนปิด หลักการจอดรถในที่จอดรถ แบบไหน เวลาจอดต้องชิดขอบถนนหากจอดตรงมุม และต้องดูด้วยว่าที่จอดรถนั้นเป็นที่จอดรถพิเศษหรือไม่ ที่จอดบางแห่งจะมีเส้นขีดไว้ว่าสามารถจอดได้จำนวนเท่าไหร่ อันนี้ก็สำคัญ ห้ามจอดทับเส้นเป็นอันขาดนะ
นอกนั้นก็เรียนการขับในวงกลม และสัญญาณการเปิดไฟเลี้ยว แบบนี้แหละเราเทคคอร์สสั้นๆ แล้วก็ตัดสินใจเรียนเอาที่บ้านกับเพื่อนบ้าน บางทีเจอใครผ่านมา เราก็เรียกคุย แล้วก็เปิดกระโปรงถามเลย อย่าคิดมากนะ กระโปรงรถ จะถามเรื่องเครื่องยนต์ และล้อรถว่า อันนี้เป็นล้อขับฤดูไหน เช็คอย่างไร แล้วเครื่องยนต์ มันต้องทำการเช็คอย่างไรบ้าง เช่น
- break fluid
- washer fluid
- radiator coolant
- battery
- topping up motor oil
- checking motor oil
เช็คเรื่องไฟ ยางรถยนต์ เบรค แตรรถ การประคองรถ กระจกรถ และ ที่ปัดน้ำฝน เข็มขัดนิรภัย เรื่องเหล่านี้สำคัญมากตอนขับรถ
(โปรดติดตามตอนต่อไป - ตอน 3)
Rose
กุมภาพันธ์ 2555
|