Yui in Lund

: Diary :

+ 2008 + 2551 +

บวชเนกขัมมะ หรือ บวชชีพรามณ์ / 9 สิงหาคม 2551

สวัสดีค่ะ หายหน้าหายตาไปนานไม่ค่อยได้อัพเดท ไดอารี่เท่าไหร่ ได้แต่อัพเดทรูป เพราะว่า กำลังบ้าเห่อถ่ายรูป บ้าถ่ายรูปตลอดเวลาก็ว่าได้ ฮ่าๆ ๆ

นี่พอมีเวลาว่างจากกิจการงานทั้งปวง ก็แว้ปไปบวชทันที อยากบวชเพื่อพักผ่อนจิตใจ พักจากเรื่องทางโลก... ได้นั่งสมาธิ สวดมนต์ ช่วยงานวัด มันเป็นอะไรที่สุขใจ ใครทำใครรู้ใครได้...

ทำไมต้องไปบวชด้วย? นั่งสมาธิที่บ้านไม่ได้หรอ? แล้วบังคับใจตัวเองไม่ให้ฟุ้งซ่านนั่นทำไมต้องไปเริ่มที่วัด? บลา ๆ ๆ ...

เรื่อง นั่งสมาธินั่น ยุ้ยนั่งที่บ้านไม่ได้แน่ๆ ไม่รู้ว่าทำไม ไม่ได้บรรยากาศ และไม่มีเพื่อนนั่งมั้ง ... แล้วอีกอย่างไม่ใช่คนนิ่งพอ ถ้าปล่อยให้นั่งคนเดียวก็นั่งได้แป๊บคนเลิก แต่ที่วัด เค้านั่งกันนาน ไอ้เราจะเลิกกลางคันก็น่าเกลียด ก็ตั้งใจนั่งทำสมาธิต่อไป ได้มั่งไม่ได้มั่ง เหอๆ บอกกันตรงๆ เลยนะ้นี่ย.... ก็ดี มันเป็นสภาพบังคับที่เราเต็มใจที่จะทำ และอยากจะทำมากๆ ... ก่อนนั่งสมาธิที่วัดเค้าจะสวดมนต์ทำวัดเย็น และสวดมนต์ตามวันข้างขึ้นข้างแรมต่างๆ สวดๆ นานๆ ยาวๆ ... นี่ก็เป็นการทำสมาธิอีกอย่างหนึ่ง เพราะจิตใจจดจ่ออยู่กับการอ่าน การสวด ถ้าสมาธิหลุดก็อ่านผิดๆ ถูกๆ ... เคยเป็นบางทีสวดๆ แล้วใจมันแว้ปออกไปไหนไม่รู้ สวดผิดเลย เสียงดังด้วย อายเค้ามั๊ยน่ะ อิอิ

บวชครั้งแรกในชีวิตจริงๆ นั่นเป็นตอนเด็กๆ โน่น ชอบนะ โรงเรียนพาไป ... แล้วเริ่มบวชที่สวีเดนเมื่อไหร่? ทำไม?

อันดับแรก เห็นเจ้ยบวช บวชจริงบวชจัง ก็อยากลองมั่งเพราะเจ้ยมันบรรยายสรรพคุณไว้เยอะว่าเป็นไง อยากลองอยากรู้ด้วยตัวเอง แต่ตอนโน้นก็ไม่มีโอกาสเพราะมีเรียน อยากบวชวันที่เป็นงานวัดพร้อมเจ้ยแต่ก็ทำไม่ได้ เพราะเป็นช่างภาพ กลัวบวชแล้วทำงานไม่ถนัด ก็ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไป จนถึงหน้าหนาวปี ๒๕๕๐ ไปบวชวันพ่อกับเจ้ยเป็นการนำร่อง แล้วจากนั้นก็ตอนโรงเรียนปิด ซานต้าอยู่เมืองไทย เราตามไปไม่ได้ ก็เลยคิดว่า เอาล่ะ่ว่างแล้วไม่มีไรทำ ตอนนั้นสภาพจิตใจอยู่ในช่วงขาลง เหนื่อยจากเรื่องเรียน เครียด สมองตึงๆ และก็เหงาหงอยเพราะอยู่บ้านคนเดียว อีกอย่างคงเจอสภาพอากาศแย่ๆ เลยทำให้ใจดิ่งลง.. ก็หอบเสื้อผ้าไปอยู่วัดเลยหนึ่งอาทิตย์...

 

 

นั่งสมาธิแรกๆ ทรมานนะคนไม่เคย ปวดเมื่อยหนึ่งล่ะ จิตใจคิดฟุ้งซ่านไปข้างหน้าข้างหลัง พอนั่งนิ่งๆ เอาและ เรื่องอะไรไม่รู้แว้ปเข้ามา ก็พยายามศึกษาใจตัวเอง และทำสมาธิด้วยการกำหนดลมหายใจไปเรื่อยๆ นั่งๆ ไปง่วงสับปะหงกงึกๆ ปรับตัวไม่ได้ที่ต้องตื่นเช้าๆ ก็อดทนทำสมาธิในแบบที่เราเข้าใจไปจนหมดเวลา วันแรกเป็นอะไรที่เหนื่อย หรือ ทรมานก็ไม่รู้ บอกไม่ถูก พอวันที่สามที่สี่ก็ดีขึ้น เริ่มเข้าใจใจตัวเองมากขึ้นมั้ง ปรับตัวเรื่องกิจวัตรประจำวันได้แล้วด้วย อยู่ได้อาทิตย์นึงก็กลับบ้าน เพราะกลัวซานต้าว่าเอาว่าไม่อยู่บ้านเลย

พอกลับมาบ้านได้สองสามวันมั้งก็กลับไปอีก หอบผ้าไปอยู่อีกอาทิตย์ ... ทำไมถึงไปอีก? เพราะเรารู้สึกว่า เรานิ่ง เรามีสติ ใจเราสบาย ถึงแม้ว่ากายเหนื่อยเพราะว่าปรับเรื่องตื่นแต่เช้าไม่ได้ ปกตินอนดึกก็เลยชิน พอไปวัดป้าๆ เค้านอนกันหมดแล้วเรายังนอนนับแมงมุมอยู่เลย นอนได้แป๊บก็ต้องตื่น จะมัวมานอนขี้เซาไม่ได้แล้ว เรามาบวชเราต้องอยู่ในระเบียบวินัยอันควร ... ไปวัดครานี้ ก็สบายๆ เพราะปรับตัวได้หลายๆ อย่าง ตอนนั่งสมาธิก็ไม่ค่อยเมื่อย มีสมาธิอยู่กับลมหายใจมากขึ้น หอบความสุขใจกลับมาบ้านด้วย

ที่ได้มากับการนั่งสมาธิ ก็สติ สมองโล่ง โปร่ง เวลา ทำอะไรใจเย็น ก็เลยทำให้คิดได้รอบคอบกว่าเดิม และเวลาคิดก็มีสมาธิกับเรื่องๆ เดียวก่อน เวลาจะำทำอะไรก็ดูไม่ติดคัด ไม่เกิดความผิดพลาด ... ไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นไง แต่กับตัวเองที่สังเกตได้เป็นแบบนี้ ... ปกตินิสัยเป็นแบบลูกคนเล็ก พลีพลาม ใจร้อน สมาธิสั้น ทำอะไรตามเสียงหัวใจเรียกร้องจนบางครั้งลืมคิดถึงเหตุผล แต่ว่า พอไปนั่งสมาธิ และไปวัดบ่อยๆ เหมือนมีบางอย่างมันขัดเกลาจิตใจเราไป จริงๆ นะ เรานิ่งมากขึ้น คิดก่อนทำ ไม่ใจร้อน เหมือนมีอะไรบางอย่างมาทำให้เราเอาเหตุผลมากดทับเหนืออารมณ์ แปลกนะ เราอธิบายอะไรไม่ได้หรอก ที่เขียนมานี่ก็ได้จากการมองย้อนไปดูตัวเอง

อ่อ ขอเล่าคร่าวๆ กิจวัตรประจำวันตอนไปอยู่วัด ...ก็ตื่นแต่เช้ามืด ราวๆ ตีห้ากว่า หรือตีห้าครึ่ง ป้าๆ ก็ทำกับข้าว บางทีเราก็เป็นลูกมือ หรือไม่ก็จัดโต๊ะอาหารเช้าให้พระ และก็ช่วยเตรียมผลไม้และขนมสำหรับถวายพระ เสร็จแล้วก็ไปนั่งสมาธิ พระท่านเริ่มนั่งสมาธิตั้งแต่ตีห้าครึ่งถึงหกโมงครึ่ง แล้วก็สวดมนต์ทำวัดเช้า จากนั้นท่านก็ลงมาฉันอาหารราวๆ เจ็ดโมงเช้า จากนั้นก็ช่วยป้าล้างจาน เก็บกวาดและช่วยงานอื่นๆ ที่มีไปเรื่อยๆ หรือไม่ก็สนทนาธรรม ก็แล้วแต่จังหวะและโอกาสไปว่าจะมีอะไรให้ทำ ราวๆ สิบเอ็ดโมงเช้าก็ถวายเพล แล้วก็เก็ดกวาดล้างจาน จากนั้นหาอะไรอย่างอื่นทำไป ทุ่มครึ่งก็ขึ้นไปสวดมนต์ทำวัดเย็น สวดแล้วก็นั่งสมาธิอีกหนึ่งชั่วโมง ราวๆ สามทุ่มครึ่งถึงสี่ทุ่มก็เสร็จสรรพ แล้วก็ต่างคนต่างนอน หรือไม่ก็นั่งคุยกันจิปาถะ

 

 

แต่ละคนก็มาบวชด้วยศรัทธา ที่ต่างๆ กันออกไป บางคนมาบวชสะสมบุญ แก้บน สงบจิตใจ หรือบางคนบวชอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว .. ก็นี่เพิ่งได้เรื่องอานิสงส์ของการบวชมาลองอ่านดูนะ ...

 

อานิสงส์การบวชพระบวชชีพรามณ์ (บวชชั่วคราวเพื่อสร้างบุญ, อุทิศให้พ่อแม่เจ้ากรรมนายเวร)

1. หน้าที่การงานจะเจริญรุ่งเรือง ได้ลาภ ยศ สรรเสริญตามปรารถนา

2. เจ้ากรรมนายเวรจะอโหสิกรรม หนี้กรรมในอดีตจะคลี่คลาย

3. สุขภาพแข็งแรง สติปัญญาแจ่มใส ปัญหาชีวิตคลี่คลาย

4. เป็นปัจจัยสู่พระนิพพานในภพต่อๆไป

5. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง โพยภัยอันตรายผ่อนหนักเป็นเบา

6. จิตใจสงบ ปล่อยวางได้ง่าย มองเห็นสัจธรรมแห่งชีวิต

7. เป็นที่รักที่เมตตามหานิยมของมวลมนุษย์มวลสัตว์และเหล่าเทวดา

8. ทำมาค้าขึ้น ไม่อับจน การเงินไม่ขาดสายไม่ขาดมือ

9. โรคภัยของตนเอง ของพ่อแม่ และของคนใกล้ชิดจะเบาบางและรักษาหาย

10. ตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ได้เต็มที่

 

สำหรับผู้ ที่บวชไม่ได้ เพราะติดภาระกิจต่างๆ ก็สามารถได้รับอานิสงส์เหล่านี้ได้ด้วยการสร้างคนให้ได้บวช สนับสนุนส่งเสริมอาสาการให้คนได้บวช

 

 

จะบอกว่าไม่เคยรู้อานิสงส์อันนี้มาก่อน เราได้แล้วซึ่งข้อ 6. จิตใจสงบ ปล่อยวางได้ง่าย มองเห็นสัจธรรมแห่งชีวิต และก็ดีใจมากที่อานิสงส์ส่งผลถึงพ่อแม่เราด้วย 10. ตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ได้เต็มที่ตอน ที่เราได้บวชเราก็แผ่ส่วนบุญไปให้พ่อแม่ตลอด เรายังมิมีเงินทองส่งไปให้ ณ ตอนนี้ก็มีแต่ "บุญ ทาน" เนี่ยแหละ และความหวังสูงสุดที่อยากได้จากอานิสงส์การทำบุญต่างๆ ก็คือ 4. เป็นปัจจัยสู่พระนิพพานในภพต่อๆ ไป ... สาธุๆ

 

 

ไปบวชทีไรก็รู้สึกดีอย่างมาก ก็อยากไปอีก แต่ว่าก็ไม่มีโอกาสเท่าไหร่ พยายามหาวันว่างไปบวช ได้ไปอีกทีก็ช่วงราวๆ เดือนมีนา เมษามั้ง แล้วก็ไม่ได้ไปอีกเลย เพราะติดเรียน เรียนชนิดที่ลืมเพื่่อน ลืมวัดไปเลย กะว่าจะไปบวชตอนปิดเทอมก็ทำไม่ได้ เพราะว่า ติดสอนภาษาไทยซัมเมอร์ และก็ได้งานซัมเมอร์ทำ ก็เลยรอมาจนถึงสิงหาเนี่ยแหละ ประมาณว่ายังต้องไปบวชให้ได้ เพราะว่า โรงเรียนจะเปิดแล้ว ถ้าไม่ไปก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะได้ไป สองอาทิตย์ต้นเดือนนี้ก็เลยกะว่าไปบวชซะหน่อย สะสมบุญ สมาธิและสติเพิ่มเอาไว้ใช้ต่อสู้กับเรื่องทางโลก และสิ่งยั่วยุ ที่จะมาจ้องทำลายใจของเราต่อไป

อ่ะมีแถมเรื่องอานิสงส์ด้วย... ลองไปอ่านกันดู ...

 

อานิสงส์ต่างๆ ของการปฏิบัติธรรม ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ

1. นั่งสมาธิ อย่างน้อยวันละ 15 นาที(หรือเดินจงกรมก็ได้)
อานิสงส์ --- เพื่อสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดขึ้นทั้งภพนี้และภพหน้า
เพื่อจิตใจที่สว่างผ่อนปรนจากกิเลส ปล่อยวางได้ง่าย
จิตจะรู้วิธีแก้ปัญหาชีวิตโดยอัตโนมัติ
ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองไม่มีวันอับจน
ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพกายและจิตแข็งแรง
เจ้ากรรมนายเวรและญาติมิตรที่ล่วงลับจะได้บุญกุศล

2. สวดมนต์ ด้วยพระคาถาต่างๆ อย่างน้อยวันละครั้งก่อนนอน
อานิสงส์ --- เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง
ชีวิตหน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า
เงินทองไหลมาเทมา แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง จิตจะเป็นสมาธิได้เร็ว
แนะนำพระคาถาพาหุงมหากา, พระคาถาชินบัญชร ,
พระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก เป็นต้น
เมื่อสวดเสร็จต้องแผ่เมตตาทุกครั้ง

3. ถวายยารักษาโรคให้วัด, ออกเงินค่ารักษาให้พระตามโรงพยาบาลสงฆ์
อานิสงส์ --- ก่อให้เกิดสุขภาพร่มเย็นทั้งครอบครัว โรคที่ไม่หายจะทุเลา
สุขภาพกายจิตแข็งแรง อายุยืนทั้งภพนี้และภพหน้า
ถ้าป่วยก็จะไม่ขาดแคลนการรักษา

4. ทำบุญตักบาตรทุกเช้า
อานิสงส์ --- ได้ช่วยเหลือศาสนาต่อไปทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ขาดแคลนอาหาร
ตายไปไม่หิวโหย อยู่ในภพที่ไม่ขาดแคลน ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์

5. ทำหนังสือหรือสื่อต่างๆ เกี่ยวกับธรรมะแจกฟรีแก่ผู้คนเป็นธรรมทาน
อานิสงส์ --- เพราะธรรมทานชนะการให้ทานทั้งปวง ผู้ให้ธรรมจึงสว่างไปด้วยลาภยศ
สรรเสริญ ปัญญา และบุญบารมีอย่างท่วมท้น เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้
ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองอย่างไม่คาดฝัน

6. สร้างพระถวายวัด
อานิสงส์ --- ผ่อนปรนหนี้กรรมให้บางเบา ให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง
สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง ครอบครัวเป็นสุข
ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนาตลอดไป

7. แบ่งเวลาชีวิตไปบวชชีพรามณ์หรือบวชพระอย่างน้อย 9 วันขึ้นไป
อานิสงส์ ---ได้ตอบแทนคุณพ่อแม่อย่างเต็มที่
ผ่อนปรนหนี้กรรมอุทิศผลบุญให้ญาติมิตรและเจ้ากรรมนายเวร
สร้างปัจจัยไปสู่นิพพานในภพต่อๆ ไป ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนา
จิตเป็นกุศล

8. บริจาคเลือดหรือร่างกาย
อานิสงส์ ---ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพแข็งแรง ช่วยต่ออายุ
ต่อไปจะมีผู้คอยช่วยเหลือไม่ให้ตกทุกข์ได้ยาก เทพยดาปกปักรักษา
ได้เกิดมามีร่างกายที่งดงามในภพหน้า ส่วนภพนี้ก็จะมีราศีผุดผ่อง

9. ปล่อยปลาที่ซื้อมาจากตลาดรวมทั้งปล่อยสัตว์ไถ่ชีวิตสัตว์ต่างๆ
อานิสงส์ --- ช่วยต่ออายุ ขจัดอุปสรรคในชีวิต
ชดใช้หนี้กรรมให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยกินเข้าไป ให้ทำมาค้าขึ้น
หน้าที่การงานคล่องตัวไม่ติดขัด ชีวิตที่ผิดหวังจะค่อยๆฟื้นคืนสภาพที่สดใส
เป็นอิสระ

10. ให้ทุนการศึกษา, บริจาคหนังสือหรือสื่อการเรียนต่างๆ , อาสาสอนหนังสือ
อานิสงส์ --- ทำให้มีสติปัญญาดี ในภพต่อๆ ไปจะฉลาดเฉลียวมีปัญญา
ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนอย่างรอบรู้ สติปัญญาสมบูรณ์พร้อม

11. ให้เงินขอทาน, ให้เงินคนที่เดือดร้อน (ไม่ใช่การให้ยืม)
อานิสงส์ ---ทำให้เกิดลาภไม่ขาดสายทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ตกทุกข์ได้ยาก
เกิดมาชาติหน้าจะร่ำรวยและไม่มีหนี้สิน ความยากจนในชาตินี้จะทุเลาลง
จะได้เงินทองกลับมาอย่างไม่คาดฝัน

12. รักษาศีล 5 หรือศีล 8
อานิสงส์ --- ไม่ต้องไปเกิดเป็นเปรตหรือสัตว์นรก
ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐครบบริบูรณ์ ชีวิตเจริญรุ่งเรือง
กรรมเวรจะไม่ถ่าโถม ภัยอันตรายไม่ย่างกราย เทวดานางฟ้าปกปักรักษา

ที่มา: Forward mail

 

 

ทำดี ถือศีล ทำได้ทุกที่ไม่จำเป็นต้องไปวัด แต่ถ้าได้ไปวัดก็จะได้บรรยากาศไปอีกแบบ ... อยู่เมืองนอก ไปวัดไทย เหมือนได้ไปเที่ยวเมืองไทย พอกลับมาบ้านก็ชื่นใจ อิ่มบุญ มีแรงสู้กับเรื่องอื่นๆ ต่อไปอีกหลายเฮือก...

 

 

 

 

<< Back

<< Back

 

Go to top
© 2010 All rights reserved. Yui in Lund@Sweden. Diary : Swedish : Photos : Hot info : Links : Guest book eXTReMe Tracker