.: คุณครูอนุบาล :.
ก่อนอื่นก็ขอเล่าประวัติส่วนตัวเล็กน้อยว่าทำไมชีวิตนี้ถึงได้มาคลุกคลีอยู่กับเด็ก ย้อนหลังเมื่อประมาณ ๑๓ ปีก่อนที่แล้วเราได้ย้ายตามสามีมาอยู่สวีเดนด้วยเห็นผลที่ง่ายๆ ก็คือ อยากเห็นลูกสาวของเราได้เติบโตขึ้นมากับสภาพแวดล้อมที่ดีๆ เพราะเราคิดว่าชีวิตเด็กกรุงเทพๆ ช่างลำบากเหลือเกิน ตื่นเต่เช้านั่งรถไปโรงเรียน รถก็ติด อากาศก็เป็นพิษ การแข่งขันในการเรียนก็สูง ไหนจะต้องเรียนโรงเรียนที่ต้องจ่ายค่าเทอมแพงไม่อยากให้ลูกสาวต้องเผชิญกับชีวิตอย่างนั้น
ถ่ายกับลูกสาว เมื่อปี พศ ๒๕๔๕
ย้ายมาอยู่ประเทศสวีเดนก็ต้องเริ่มต้นกันใหม่ ด้วยการพยายามหางานที่ตัวเองได้เรียนมาจากออสเตรเลีย แต่ก็ไม่วี่แววว่าจะได้งานทำ ก็ไปเรียนภาษาสวีเดน เรียนไปก็หางานทำด้วย คิดว่างานอะไรก็ทำไปก่อน ดีกว่าอยู่เฉยๆ เรียนอยู่ประมาณหกเดือนก็จบ SFI ข้อเขียนผ่านด้วยดี แต่ว่าเราก็ยังพูดไม่คล่องก็สมัครงานที่ร้านอาหารญี่ปุ่น ทำจากพนักงานเสิร์ฟจนเลื่อนตำแหน่งเป็นกุ๊ก ทำซูชิ และฝึกพูดภาษาสวีดิชอยู่ ๓ ปี ก็เริ่มจะเบื่อกับสิ่งแวดล้อมในร้านอาหาร ยิ่งทำเจ้าของร้านก็รวยแล้วรวยอีก เปิดร้านใหม่ไม่รู้กี่สาขา เราก็ทำงานมากขึ้นทุกวัน โดนเขาเอาเปรียบ วันหนึ่งเกิดอาการเหนื่อยสุดขีด โยนผ้ากันเปื้อนใส่เจ้าของร้าน บอกเขาว่า ทำเองเถอะ ฉันลาออก กลับบ้านบอกสามีว่า ฉันไม่ทำงานกับคนบ้าอย่างนั้น ฉันจะไปเรียน
สักพักทางโรงเรียนก็เขียนจดหมายมาบอกให้ไปรายงานตัวเข้าเรียน Barnskötarkurs ที่เราได้สมัครทิ้งเอาไว้ ดีใจมากที่เข้าไปเรียนได้ เพราะคนสมัครเยอะ เรียนอยู่ ๒ เทอม ประมาณ ๑ ปี เรียนหนักมากนะ ทั้งการบ้าน รายงาน ต้องมีการออกความคิดเห็นระหว่างเพื่อนที่เรียนด้วยกันอยู่ตลอดเวลา ทำงานกันเป็นกลุ่ม เขาสอนให้เรารู้จักการร่วมมือกัน (samarbete) เรียนทั้งภาคทฤษฏี และปฎิบัติ เรียนจิตวิทยาเด็กด้วย มีการฝึกงานอยู่ ๒ ครั้ง จะมีการประเมินผลว่า ฝึกงานผ่านมั๊ย สรุปก็จบได้ด้วยความราบรื่น
ทางโรงเรียนที่ฝึกงานกับเขาก็รับเข้าทำงานด้วย ทำที่นั้นได้พักใหญ่ ก็ได้งานใหม่ เป็นงานที่ดูแลเด็กที่เป็นอาร์ทิส คือ เด็กที่มี่สมาธิสั้น และไม่สามารถปรับตัวเข้ากับเด็กอื่นๆไ ด้ ทำได้เกือบปีเด็กก็ย้ายไปโรงเรียนที่มีการสอนสำหรับเด็กที่มีความพิเศษ ต่างจากเด็กทั่วไป ตอนนี้เราก็สอนเด็ก ๑ ถึง ๓ ขวบ ทำงานกับเด็กๆ มาทั้งหมดเกือบ ๗ ปีแล้วนะ
ถ่ายที่กรุงโรม อิตาลี พศ ๒๕๕๑
มีความสุขมากกับการที่ได้อยู่กับเด็กน้อย ถึงแม้บางครั้งเราจะต้องปราบกับเจ้าจอมซนบ้าง แต่นั้นก็เป็นเรื่องปกติค่ะ เพราะเด็กที่นั่งอยู่เฉยๆ คือเด็กที่ไม่มีการพัฒนาการ
นั้นยังไม่เท่าไรคะ นี้ก็สำคัญ ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับผู้ปกครอง พ่อและแม่เด็กเขาต้องให้ความเชี่อใจในการอบรมดูแลลูกๆ ของพวกเขาให้กับคุณครู และพวกเราก็ต้องมีหลักการณ์ ต้องมีความชัดเจนและอธิบายให้ผู้ปกครองได้รับทราบว่า การสอนของเราเด็กได้มีการพัฒนาการในด้านใดบ้าง และเราก็ต้องมีการพูดคุยกับผู้ปกครองว่าวันนี้เด็กๆ ได้ทำกิจกรรมอะไรและมีความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ อย่างไรที่โรงเรียน บางที่เราก็ต้องให้การปรึกษาผู้ปกครองว่าจะต้องทำอย่างไรบ้างกับลูกๆ ของพวกเขา เพราะพ่อแม่บ้างคนไม่ทราบว่าจะปราบเจ้าจอมซนอย่างไรดี... จากนั้นก็จะมีการประชุมผู้ปกครอง และนัดผู้ปกครองเพื่อคุยเกี่ยวกับการพัฒนาการของเจ้าตัวน้อย ๒ ครั้งต่อปี และต้องฟังความคิดผู้ปกครอง รับทั้งคำติและชม...
การทำงานกับผู้ร่วมงานที่แผนกของเราและผู้ร่วมงานทั้งโรงเรียนก็สำคัญมากๆ แผนกที่อ้อยทำเป็นแผนกเด็กเล็ก ครู ๑ คน และผู้ช่วยครู ๒ คน มีเด็ก ๑๖ คน อาทิตย์หนึ่งเราก็มีการประชุมแผนก ๑ ครั้ง แต่ทุกวันเราก็จะมีการพูดคุยและเตรียมการสอน มีการแบ่งเด็กเป็น ๓ กลุ่ม และ ครูแต่ละคนก็จะรับผิดชอบการสอนของเด็กกลุ่มของตัวเอง ระหว่างเวลา ๙ ถึง ๑๑ โมงเช้าก็คือ pedagogisk verksamhet จากนั้นเราก็นำเด็กมารวมกันเพื่อทำกิจกรรมร้องเพลง อ่านนิทาน เสร็จก็ทานอาหารเที่ยง เข้านอน เด็กๆ ตื่นนอนกันแล้วก็ถึงเวลาทานอาหารว่าง และเด็กๆ ก็จะเล่นแล้วก็รอเวลากลับบ้านกัน...
เราจะมีการประชุมทั้งโรงเรียน ๑ ครั้งต่อเดือน และใช้เวลา ๓ ชม. ผู้อำนวยการโรงเรียนก็มีการรายงานต่างๆ และคุณครูทั้งหลายก็ออกความคิดเห็นกัน นี้คือประชาธิปไตย
ภายใน ๑ ปีของการทำงานก็จะมีการปิดโรงเรียน ๒ ครั้ง ครั้งละ ๒ วันเพื่อคุณครูจะได้มีการประชุมวางแผนการสอน และการประเมินผลการสอน คุณครูอนุบาลก็มีวันลาพักร้อน ๕-๖
อาทิตย์ต่อปี
นี้คือการทำงานอย่างคร่าวๆ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับพี่น้องชาวไทยทุกคนที่อยากทำงาน Förskola แต่ละโรงเรียนอาจจะมีหลักการแตกต่างกันบ้างเล็กน้อย แต่ถ้าเป็นโรงเรียนของรัฐบาล หรือภาษาสวีดิช เรียกว่า kommunal förskola คงจะคล้ายๆ อย่างที่เล่าสู่กันฟัง...
ขอให้ชาวไทยเราที่อยู่สวีเดนทุกคนสู้ๆ นะคะ ทุกคนสามารถสานฝันของตัวเองได้ถ้าเรามีความมุ่งมั่นกับสิ่งที่เราไฝ่ผันไว้ เส้นทางเดินเท่ากัน... คนเดินทางอาจใช้เวลาแตกต่างกัน... แต่ก็สามารถเดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางได้ทุกคนและจงมีความเชื่อมั่นในตัวเองว่า เราทำได้!
รักและปราถนาดี จากผู้หญิงไทยอีกคนหนึ่งที่อยู่ในประเทศสวีเดน...
ฟ้าใส
www.bannfhasai.blogspot.com
มีนาคม ๒๕๕๔
|