หนทางสู่การเป็นผู้ช่วยกุ๊ก ตอนที่ 8
หลังจากสอบเสร็จก็ได้เวลาออกฝึกงานรอบสุดท้าย มีระยะเวลา ๖ อาทิตย์ การฝึกงานครั้งนี้ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปคนละที่ เพราะนักเรียนทั้งห้องเหลือแค่ ๖ คน ครั้งนี้ครูให้นักเรียนเลือกสถานที่ฝึกงานเองได้ถ้าหากว่าเขารับ ขึ้นอยู่กับว่าใครอยากทำงานด้านไหน เพราะจริงๆ แล้วมันเป็นการฝึกงานเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์จากคราวแรก ตัวผู้เขียนเองได้ไปทำที่ร้านอาหารซึ่งมีสาขาอยู่ในหลายๆ เมือง ร้านที่เราไปฝึกงานอยู่ในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่เมืองใกล้ๆ นั่งรถบัสแค่ ๑๕ นาทีก็ถึง
อาทิตย์แรกที่ทำรู้สึกไม่สนุก ไม่ค่อยมีอะไรให้ทำ วันๆ เลยยืนเฝ้าแต่เครื่องล้างจาน ส่วนตัวมีความรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกิน เพราะร้านจะเป็นเหมือนระบบครอบครัว ทุกคนเป็นญาติกัน พนักงานในร้านชอบคุยภาษาที่เราไม่เข้าใจ (อาหรับ) ยกเว้นกุ๊กซึ่งเป็นชาวฮังการี่ พวกเขาทำงานด้วยกันมานานก็เลยพูดคุยกันสนุกสนาน ในขณะที่เราได้แต่ยืนกรอกตาปริบๆ ฟัง ตัวกุ๊กเองก็เป็นคนไม่ค่อยพูด ถามคำก็ตอบคำ และเวลาเขาทำงานจะเคร่งขรึมมาก ทำให้ไม่กล้าเข้าไปใกล้ กลัวเกะกะแล้วจะโดนลูกหลง (น่ากลัวน้อยซะเมื่อไหร่ล่ะ หม้อขนาดต้มคนได้ทั้งตัวทั้งนั้น ตั้งน้ำเดือดปุดอยู่เต็มเตา) ซึ่งอาการแบบนี้มันทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัดดีแท้เชียว ในที่สุดก็เกิดความท้อแท้ ถ้าเป็นอยู่แบบนี้จนจบคงไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับโรงเรียนแน่ นอกจากมือเหี่ยวๆ ลอกๆ จากน้ำร้อนจากเครื่องล้างจาน ตัดสินใจโทรหาครูโดยพลัน และขอเปลี่ยนที่ฝึกงานใหม่ พร้อมกับอธิบายไปว่าเรารู้สึกยังไง และใส่ไฟไปหนึ่งก้อนว่า
"ฉันสงสัยว่าพวกเขาทำอาหารทุกอย่างตอนฉันกลับบ้านแล้วแน่ๆ เพราะเวลาฉันมาถึงที่ทำงานตอนเช้า อาหารทุกอย่างปรุงเกือบเสร็จแล้ว อยู่มาอาทิตย์หนึ่งไม่เคยได้ทำซอสปรุงรสกับเขาซักที อย่างนี้ฉันจะมาทนอยู่หั่นผัก ล้างจานให้เขาทำไมวันละแปดชั่วโมง งานแบบนี้ทำที่โรงเรียนมามากพอแล้ว "
ความรู้สึกตอนนั้นมันหมดหวังมาก เพราะใจเราจริงๆ ต้องการเรียนรู้การปรุงอาหารในร้านอาหารจริงๆ ให้มากกว่านี้ อีกอย่าง รู้สึกว่างานที่นี่มันไม่ครอบคลุมข่ายงานตามที่ครูบอก ที่ว่าเราจะได้ฝึกการให้บริการในห้องอาหารด้วย แต่ที่นี่เขาให้บริการอาหารเที่ยง ซึ่งจะเป็นลักษณะเหมือนฟูดคอร์ทบ้านเราเลย แบบซื้อแล้วใส่ถาดไปกินที่ไหนก็ได้ภายในบริเวณที่ห้างจัดไว้ ซึ่งจะมีร้านอาหารไว้บริการอยู่ ๔ เจ้า ขายอาหารต่างแบบกันไปในราคาเท่ากัน ยกเว้นอาหารที่สั่งพิเศษ เมื่อลูกค้ากินเสร็จก็จะมีพนักงานของห้างมาเก็บจาน ชาม ช้อน ซ้อม ไปล้าง ล้างเสร็จก็เอามาส่งให้ตามร้านต่างๆ ทุกร้านใช้อุปกรณ์เหมือนกัน
หลังจากฟังนักเรียนบ่นเสร็จ ครูก็รับปากว่าจะพยายามหาที่ใหม่ให้ และก็ขอให้เราอดทนรอไปก่อนสักพักเพราะที่มันเต็มหมดแล้ว พร้อมกับถามว่า ได้คุยกับกุ๊กแล้วหรือยังเกี่ยวกับเรื่องนี้ พอเราบอกว่ายัง ครูก็บอกว่าให้ไปคุยซะ ถ้าไม่กล้าคุยเอง ครูจะโทรไปคุยกับกุ๊กให้ จะได้เข้าใจกันทั้งสองฝ่าย พอได้ยินดังนั้นรีบห้ามเกือบไม่ทัน กลัวกุ๊กรู้ว่าโทรไปฟ้องครูโดยที่ยังไม่ได้คุยกัน กลัวโดนเขม่น อิอิ ก็เลยรับปากครูว่าจะคุยเอง รับปากไปทั้งที่ยังกลัวๆ กล้าๆ เพราะปกติจะเป็นคนขี้อาย ไม่ค่อยกล้าเสนอหน้า หรือแสดงความต้องการให้ใครรู้เท่าไหร่หรอก
วันนั้นหลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จ ก็เข้าไปนั่งทำใจในห้องแต่งตัวอยู่พักใหญ่ คิดหาคำพูดที่จะไม่ทำให้เกิดความบาดหมางกัน แล้วก็เดินออกไปเผชิญหน้ากับกุ๊ก ก็บอกเขาไปทุกอย่างตามที่เราคิด อยากให้เขาสอนให้ทำซอสบ้าง และอยากมีส่วนร่วมเวลาเขาทำอาหาร ไม่ใช่แค่ยืนดู ตบท้ายด้วยข้อเสนอว่า
"ขอเปลี่ยนเวลาเข้างานให้สายกว่านี้ได้ไหม อยากมีส่วนร่วมเวลาที่พวกเธอเตรียมของตอนเย็น"
กุ๊กรีบบอกว่า "เข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า ไม่มีใครทำอะไรตอนเย็นหรอก หลังจากเธอกลับบ้านมันก็ไม่มีอะไรจะทำแล้วนอกจากนั่งๆ ยืนๆ มองขี้ตากัน แล้วก็เก็บร้าน"
อ้าว...แล้วที่ชั้นเห็นว่าซอสต่างๆ มันปรุงเสร็จแล้วตอนชั้นมาถึงนี่ เทวดาหน้าไหนมันทำหว่า...ฮึ ...อันนี้คิดในใจเฉยๆ ไม่กล้าพูด อิอิ
กุ๊กมองหน้าสงสัยของเราแล้วก็คงเข้าใจ เขาเลยบอกว่าที่เขามาทำงานก่อนเราหนึ่งชั่วโมงนั่นก็ทำพวกนี้แหละ กว่าเราจะมาถึงมันก็เกือบๆ เสร็จ มันก็เลยไม่มีอะไรให้ทำมากมาย แต่เขารับปากว่าต่อไปนี้เขาจะพยายามอธิบายทุกอย่างให้เราฟังให้มากที่สุด ตบท้ายด้วยคำแทงใจดำเรา
"ตัวเธอเองก็อย่าเอาแต่ไปแอบในห้องล้างจานสิ ออกมาข้างนอกบ้าง ไปดูบ้างว่าเขาทำอะไรที่ด้านหน้า"
น่าน กลายเป็นตูผิดอีก ฮ่วยๆ ที่เราไม่ค่อยออกไปเสนอหน้าด้านนอกเพราะวางตัวไม่ถูก ยิ่งเวลาที่เปิดขายของแล้ว ทุกคนจะออกไปยืนหน้าเคาน์เตอร์ สี่ห้าคน ตักอาหารใส่จานให้ลูกค้า ไอ้เราเห็นว่าคนเยอะกับพื้นที่แคบๆ ไม่อยากออกไปเกะกะ กลัวเหยียบกันตาย แต่เขากลับเข้าใจไปว่าเราไม่อยากมีส่วนร่วมในกิจกรรม เป็นงั้นไปซะได้
จากการเปิดอกคุยกันครั้งนั้นทำให้เรากับกุ๊กเข้าใจกันมากขึ้น เราได้มีส่วนร่วมในการปรุงอาหารหลายอย่าง เช่น เวลาจะอบ จะทอดอะไร กุ๊กจะอธิบายวิธีการว่าทำยังไงให้ปลอดภัย อุณหภูมิเท่าไหร่ เหมาะกับเนื้อชนิดไหน รวมทั้งการตีแป้ง ตีครีมต่างๆ และให้เราลงมือทำเอง ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เรารู้สึกสนุกในการทำงานมากขึ้น กล้าพูดคุยกับทุกคนมากขึ้น และสุดท้ายก็สนิทกันจนถึงขนาดแกล้งอำกันเล่นได้ทั้งร้าน อิอิ คุณกุ๊กนี่นิสัยน่ารักมาก เขาจะเสริฟน้ำ เสริฟกาแฟให้พนักงานทุกคน ทุกเช้าเลยเวลาว่างๆ และจะคอยถามเราทุกวันว่าหิวหรือยัง จะกินอะไร และชอบไล่ให้ไปนั่งพักเวลาทำงานแต่ละอย่างเสร็จ ชอบจัง :)
โดนถาดร้อนๆ จากเตาอบลวกที่แขน หลังจากโดนกุ๊กจ้ำจี้จ้ำไชยังไม่ทันขาดคำดีเลย อิอิ
เหตุการณ์แบบนี้ขึ้นได้เสมอ เมื่อเล่นกับของร้อน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติของคนทำงานครัว
เมื่อเราปรับความเข้าใจให้ตรงกันได้แล้ว ก็โทรไปรายงานผลครู ไม่ต้องหาที่ฝึกงานใหม่แล้ว เราก็ดีใจที่ในที่สุดก็เอาชนะความอายได้ ครูก็ดีใจที่นักเรียนสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยตัวเองได้โดยคำแนะนำจากครู ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่ส่วนเล็กๆ แต่มันเพิ่มความมั่นใจให้เราได้มากโขอยู่ นานๆ ทีจะกล้าแบบนี้มั่ง ปกติให้คนอื่นออกหน้าให้ตลอด อิอิ
ประสบการณ์เรื่องนี้สอนให้รู้เราว่า หากเราพูดคุยกันมากขึ้นจะทำให้คนเราเข้าใจกันได้มากขึ้น สังเกตว่าปัญหาหลายๆ อย่างมักเกิดขึ้นจากความไม่เข้าใจกัน อันเกิดจากการที่ต่างคนต่างคิดไปคนละทาง เข้าใจไปคนละอย่าง หากเราหันหน้าเข้าหากัน และคุยกันอย่างเปิดใจ ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้นเนาะ
ขอบคุณคุณครูที่คอยพร่ำบอกพร่ำสอน และแนะนำแนวทางให้นักเรียนทุกคนเสมอ เคารพคุณครู (ดีๆ) ทุกคนค่ะ
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
พิณ
เขียนเล่าเรื่องไว้เมื่อ ธันวาคม 2553
|